Minuto y resultado

ElArquitecto escribió:

Eric Sachs escribió:

ElArquitecto escribió:Ya me direis en qué partido de los 6 que quedan veis al Barça perdiendo puntos:

Espanyol, Valencia, Sporting en casa
Deportivo, Granada, Betis fuera.

y ojo  con  el  granada/betis jugandose el descenso.

Ya, y el barça jugándose la liga . Si el Espanyol tiene opciones reales de ganarle al Barça en el Nou Camp que baje Dios y lo vea.

ElArquitecto escribió:
Deportivo, Granada, Betis fuera.

Elephant Man escribió:El atletico tampoco lo va a ganar todo. Ninguno de los tres lo va a ganar todo de aqui a final de año. Es final de temporada y las fuerzas son justitas.

blackfoot escribió:

ElArquitecto escribió:
Deportivo, Granada, Betis fuera.

Tres equipos que si marcan pronto como hoy se saben cerrar y las pueden pasar putas para remontar

Añade que Valencia,aún con su temporada putápenica, suele ser una plaza díficil

Clairvoyant escribió:Jugando como hoy o en Villarreal el Barça se puede dejar puntos en cualquier partido. Están muertos.

ElArquitecto escribió:Es que además el Atlético recibe al Celta y tiene que jugar en San Mamés.
Que no, tíos, que no.

Eric Sachs escribió:ผายลม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
ผายลม หรือ ตด ในภาษาพูด โดยทั่วไปเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ในวันหนึ่งๆ มนุษย์อาจผายลมได้ 10-20 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นปริมาณแก๊สที่ปล่อยออกมา คือ 0.5-1 ลิตรต่อวัน
ผายลมเกิดจากการรวมตัวของแก๊สหลายชนิด แก๊สที่ไม่มีกลิ่น 99% มีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ออกซิเจน และมีเทน ส่วนแก๊สที่มีกลิ่นมี 1% เท่านั้นซึ่งเกิดจากการหมักหมมของอาหารในลำไส้ใหญ่ และทำให้เกิดแก๊สจำพวกกำมะถัน ได้แก่ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นเฉพาะตัว
ปกติมนุษย์ขับแก๊สส่วนเกินออกจากร่างกายได้ 2 ทาง คือ การขับออกทางปาก (เรอ) และการขับออกทางทวารหนัก (ผายลม หรือตด) หากแก๊สนั้นไม่ขับออกมาจะทำให้มีการสะสมไว้ในทางเดินอาหาร จะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง ปวดมวนในท้อง และเกิดอาการท้องอืดตามมา
เนื้อหา [ซ่อน]
1 สาเหตุ
2 ผายลมบอกโรค
3 ผายลมกับพฤติกรรม
4 อ้างอิง
สาเหตุ[แก้]
แก๊สในร่างกายเกิดจาก 2 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1.แก๊สจากภายนอกร่างกาย คิดเป็น 90% เป็นอาการที่รับเข้ามาผ่านทางปากและทวาร กล่าวคือ เมื่อเราพูดหรือกลืนอาหารก็จะกลืนอากาศเข้าไปด้วย และสาเหตุอื่นๆ อีก ได้แก่ การกินอาหารเร็วเกินไปทำให้เคี้ยวไม่ละเอียด เคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอม สูบบุหรี่ การใช้ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม การดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแก๊ส
2.แก๊สที่เกิดจากภายในร่างกาย คิดเป็น 10% แก๊สประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นแก๊สที่ผลิตขึ้นจากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกากอาหาร ซึ่งแก๊สที่เกิดขึ้นจากกระบวนการย่อยนี้เมื่อรวมตัวกันแล้วก็จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ใหญ่
แม้ว่าผนังลำไส้ใหญ่จะดูดซึมแก๊สเหล่านี้ไว้ได้ หากลำไส้ใหญ่ดูดแก๊สไม่ทันบางครั้งร่างกายก็ขับแก๊สออกมาทางลำไส้ตรง เพราะลำไส้บีบตัวเป็นจังหวะถี่เกินไป หรือเป็นเพราะการกินอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สมาก เช่น ถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนม
ผายลมบอกโรค[แก้]
การผายลมกับอุจจาระเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าผายลมนั้นสิ่งที่ออกมาคือแก๊ส เป็นการระบายสิ่งที่ไม่ดีออกมาจากร่างกายโดยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่
หากวันทั้งวันไม่ผายลมเลยนั้นแสดงว่ากำลังผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อุดตัน หรือมะเร็ง หากเกิดกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงอาจบอกได้ว่าในลำไส้มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วกระเพาะอาหารไม่ทำงาน อาหารก็ไม่ถูกย่อย เมื่อไปถึงลำไส้ใหญ่แบคทีเรียจะมาทำหน้าที่ช่วยย่อยเมื่อย่อยมากก็เกิดแก๊สมากขึ้นตามมา
ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี เมื่อถุงน้ำดีไม่ทำงานทำให้ย่อยสลายไขมันได้ไม่ดี จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดและผายลมหลังอาหารอยู่บ่อยๆ ตลอดจนผู้ที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคตับอ่อนอักเสบ และผู้ที่มีอาการท้องผูกล้วนเป็นสาเหตุของผายลมได้
ผายลมกับพฤติกรรม[แก้]
ผายลมนอกจากจะเกิดจากโรคภัยแล้ว ยังเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำอีกด้วย
1.อาหารที่กระตุ้นการผายลมและมีกลิ่นเหม็น การทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากกว่าผัก ทำให้แบคทีเรียที่สร้างแก๊สเติบโตได้ดีในลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดตะกรันของอุจจาระค้างปีที่หลงเหลืออยู่ในลำไส้ใหญ่มาก เพราะอาหารประเภทนี้จะใช้เวลาย่อยประมาณ 72 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ทำให้เกิดการหมักหมมทำให้เกิดเสียงและกลิ่นเหม็น นอกจากเนื้อสัตว์แล้วยังมี ถั่วแห้งต่างๆ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ขนมปังสด ช็อกโกแลต กาแฟ แตงกวา อาหารทอด ผัดกาดแก้ว ขนมหวานเมอแรง ถั่วลิสง ไช้เท้า ครีม (นม) ปั่น เป็นต้น
2.พฤติกรรมกระตุ้นผายลม ได้แก่ การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้อาหารย่อยไม่หมดและทำให้ท้องอืด หรือท้องไม่ทันอืดก็เรอออกมาเสียก่อน สุขภาพของฟัน เช่น ผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พูดมากหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้ต้องกลืนลมเข้าท้องในปริมาณมาก ขาดการออกกำลังกาย เพราะการผายลมเกิดจากการบีดตัวของลำไส้ใหญ่ ซึ่งการทำงานของลำไส้ใหญ่มักเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อ้างอิง[แก้]
นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2551

หมวดหมู่: รีเฟล็กซ์
สรีรวิทยา
รายการเลือกการนำทาง
ไม่ได้ล็อกอิน
พูดคุย
เรื่องที่เขียน
สร้างบัญชี
ล็อกอิน
บทความ
อภิปราย
เนื้อหา
แก้ไข
ประวัติ
หน้าหลัก
ถามคำถาม
บทความคัดสรร
บทความคุณภาพ
เหตุการณ์ปัจจุบัน
สุ่มบทความ
มีส่วนร่วม
เกี่ยวกับวิกิพีเดีย
ศาลาประชาคม
ปรับปรุงล่าสุด
ติดต่อวิกิพีเดีย
บริจาคให้วิกิพีเดีย
วิธีใช้
เครื่องมือ
หน้าที่ลิงก์มา
การปรับปรุงที่เกี่ยวโยง
อัปโหลดไฟล์
หน้าพิเศษ
ลิงก์ถาวร
สารสนเทศหน้า
Wikidata item
อ้างอิงบทความนี้
พิมพ์/ส่งออก
สร้างหนังสือ
ดาวน์โหลดเป็น
รุ่นพร้อมพิมพ์
โครงการอื่น

ภาษาอื่น
แก้ไขลิงก์
หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559 เวลา 11:02 น.
อนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน และอาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม ดูรายละเอียดที่ ข้อกำหนดการใช้งาน

blackfoot escribió:

ElArquitecto escribió:Es que además el Atlético recibe al Celta y tiene que jugar en San Mamés.
Que no, tíos, que no.

Bueno, tranquilo

Dejanos tener ilusión que además es gratis

efecto diablo escribió:

Eric Sachs escribió:ผายลม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
ผายลม หรือ ตด ในภาษาพูด โดยทั่วไปเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ในวันหนึ่งๆ มนุษย์อาจผายลมได้ 10-20 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นปริมาณแก๊สที่ปล่อยออกมา คือ 0.5-1 ลิตรต่อวัน
ผายลมเกิดจากการรวมตัวของแก๊สหลายชนิด แก๊สที่ไม่มีกลิ่น 99% มีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ออกซิเจน และมีเทน ส่วนแก๊สที่มีกลิ่นมี 1% เท่านั้นซึ่งเกิดจากการหมักหมมของอาหารในลำไส้ใหญ่ และทำให้เกิดแก๊สจำพวกกำมะถัน ได้แก่ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นเฉพาะตัว
ปกติมนุษย์ขับแก๊สส่วนเกินออกจากร่างกายได้ 2 ทาง คือ การขับออกทางปาก (เรอ) และการขับออกทางทวารหนัก (ผายลม หรือตด) หากแก๊สนั้นไม่ขับออกมาจะทำให้มีการสะสมไว้ในทางเดินอาหาร จะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง ปวดมวนในท้อง และเกิดอาการท้องอืดตามมา
เนื้อหา [ซ่อน]
1 สาเหตุ
2 ผายลมบอกโรค
3 ผายลมกับพฤติกรรม
4 อ้างอิง
สาเหตุ[แก้]
แก๊สในร่างกายเกิดจาก 2 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1.แก๊สจากภายนอกร่างกาย คิดเป็น 90% เป็นอาการที่รับเข้ามาผ่านทางปากและทวาร กล่าวคือ เมื่อเราพูดหรือกลืนอาหารก็จะกลืนอากาศเข้าไปด้วย และสาเหตุอื่นๆ อีก ได้แก่ การกินอาหารเร็วเกินไปทำให้เคี้ยวไม่ละเอียด เคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอม สูบบุหรี่ การใช้ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม การดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแก๊ส
2.แก๊สที่เกิดจากภายในร่างกาย คิดเป็น 10% แก๊สประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นแก๊สที่ผลิตขึ้นจากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกากอาหาร ซึ่งแก๊สที่เกิดขึ้นจากกระบวนการย่อยนี้เมื่อรวมตัวกันแล้วก็จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ใหญ่
แม้ว่าผนังลำไส้ใหญ่จะดูดซึมแก๊สเหล่านี้ไว้ได้ หากลำไส้ใหญ่ดูดแก๊สไม่ทันบางครั้งร่างกายก็ขับแก๊สออกมาทางลำไส้ตรง เพราะลำไส้บีบตัวเป็นจังหวะถี่เกินไป หรือเป็นเพราะการกินอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สมาก เช่น ถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนม
ผายลมบอกโรค[แก้]
การผายลมกับอุจจาระเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าผายลมนั้นสิ่งที่ออกมาคือแก๊ส เป็นการระบายสิ่งที่ไม่ดีออกมาจากร่างกายโดยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่
หากวันทั้งวันไม่ผายลมเลยนั้นแสดงว่ากำลังผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อุดตัน หรือมะเร็ง หากเกิดกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงอาจบอกได้ว่าในลำไส้มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วกระเพาะอาหารไม่ทำงาน อาหารก็ไม่ถูกย่อย เมื่อไปถึงลำไส้ใหญ่แบคทีเรียจะมาทำหน้าที่ช่วยย่อยเมื่อย่อยมากก็เกิดแก๊สมากขึ้นตามมา
ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี เมื่อถุงน้ำดีไม่ทำงานทำให้ย่อยสลายไขมันได้ไม่ดี จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดและผายลมหลังอาหารอยู่บ่อยๆ ตลอดจนผู้ที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคตับอ่อนอักเสบ และผู้ที่มีอาการท้องผูกล้วนเป็นสาเหตุของผายลมได้
ผายลมกับพฤติกรรม[แก้]
ผายลมนอกจากจะเกิดจากโรคภัยแล้ว ยังเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำอีกด้วย
1.อาหารที่กระตุ้นการผายลมและมีกลิ่นเหม็น การทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากกว่าผัก ทำให้แบคทีเรียที่สร้างแก๊สเติบโตได้ดีในลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดตะกรันของอุจจาระค้างปีที่หลงเหลืออยู่ในลำไส้ใหญ่มาก เพราะอาหารประเภทนี้จะใช้เวลาย่อยประมาณ 72 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ทำให้เกิดการหมักหมมทำให้เกิดเสียงและกลิ่นเหม็น นอกจากเนื้อสัตว์แล้วยังมี ถั่วแห้งต่างๆ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ขนมปังสด ช็อกโกแลต กาแฟ แตงกวา อาหารทอด ผัดกาดแก้ว ขนมหวานเมอแรง ถั่วลิสง ไช้เท้า ครีม (นม) ปั่น เป็นต้น
2.พฤติกรรมกระตุ้นผายลม ได้แก่ การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้อาหารย่อยไม่หมดและทำให้ท้องอืด หรือท้องไม่ทันอืดก็เรอออกมาเสียก่อน สุขภาพของฟัน เช่น ผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พูดมากหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้ต้องกลืนลมเข้าท้องในปริมาณมาก ขาดการออกกำลังกาย เพราะการผายลมเกิดจากการบีดตัวของลำไส้ใหญ่ ซึ่งการทำงานของลำไส้ใหญ่มักเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อ้างอิง[แก้]
นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2551

หมวดหมู่: รีเฟล็กซ์
สรีรวิทยา
รายการเลือกการนำทาง
ไม่ได้ล็อกอิน
พูดคุย
เรื่องที่เขียน
สร้างบัญชี
ล็อกอิน
บทความ
อภิปราย
เนื้อหา
แก้ไข
ประวัติ
หน้าหลัก
ถามคำถาม
บทความคัดสรร
บทความคุณภาพ
เหตุการณ์ปัจจุบัน
สุ่มบทความ
มีส่วนร่วม
เกี่ยวกับวิกิพีเดีย
ศาลาประชาคม
ปรับปรุงล่าสุด
ติดต่อวิกิพีเดีย
บริจาคให้วิกิพีเดีย
วิธีใช้
เครื่องมือ
หน้าที่ลิงก์มา
การปรับปรุงที่เกี่ยวโยง
อัปโหลดไฟล์
หน้าพิเศษ
ลิงก์ถาวร
สารสนเทศหน้า
Wikidata item
อ้างอิงบทความนี้
พิมพ์/ส่งออก
สร้างหนังสือ
ดาวน์โหลดเป็น
รุ่นพร้อมพิมพ์
โครงการอื่น

ภาษาอื่น
แก้ไขลิงก์
หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559 เวลา 11:02 น.
อนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน และอาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม ดูรายละเอียดที่ ข้อกำหนดการใช้งาน

Difiero en todo.

Frusciante escribió:

efecto diablo escribió:

Eric Sachs escribió:ผายลม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
ผายลม หรือ ตด ในภาษาพูด โดยทั่วไปเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ในวันหนึ่งๆ มนุษย์อาจผายลมได้ 10-20 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นปริมาณแก๊สที่ปล่อยออกมา คือ 0.5-1 ลิตรต่อวัน
ผายลมเกิดจากการรวมตัวของแก๊สหลายชนิด แก๊สที่ไม่มีกลิ่น 99% มีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ออกซิเจน และมีเทน ส่วนแก๊สที่มีกลิ่นมี 1% เท่านั้นซึ่งเกิดจากการหมักหมมของอาหารในลำไส้ใหญ่ และทำให้เกิดแก๊สจำพวกกำมะถัน ได้แก่ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นเฉพาะตัว
ปกติมนุษย์ขับแก๊สส่วนเกินออกจากร่างกายได้ 2 ทาง คือ การขับออกทางปาก (เรอ) และการขับออกทางทวารหนัก (ผายลม หรือตด) หากแก๊สนั้นไม่ขับออกมาจะทำให้มีการสะสมไว้ในทางเดินอาหาร จะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง ปวดมวนในท้อง และเกิดอาการท้องอืดตามมา
เนื้อหา [ซ่อน]
1 สาเหตุ
2 ผายลมบอกโรค
3 ผายลมกับพฤติกรรม
4 อ้างอิง
สาเหตุ[แก้]
แก๊สในร่างกายเกิดจาก 2 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1.แก๊สจากภายนอกร่างกาย คิดเป็น 90% เป็นอาการที่รับเข้ามาผ่านทางปากและทวาร กล่าวคือ เมื่อเราพูดหรือกลืนอาหารก็จะกลืนอากาศเข้าไปด้วย และสาเหตุอื่นๆ อีก ได้แก่ การกินอาหารเร็วเกินไปทำให้เคี้ยวไม่ละเอียด เคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอม สูบบุหรี่ การใช้ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม การดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแก๊ส
2.แก๊สที่เกิดจากภายในร่างกาย คิดเป็น 10% แก๊สประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นแก๊สที่ผลิตขึ้นจากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกากอาหาร ซึ่งแก๊สที่เกิดขึ้นจากกระบวนการย่อยนี้เมื่อรวมตัวกันแล้วก็จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ใหญ่
แม้ว่าผนังลำไส้ใหญ่จะดูดซึมแก๊สเหล่านี้ไว้ได้ หากลำไส้ใหญ่ดูดแก๊สไม่ทันบางครั้งร่างกายก็ขับแก๊สออกมาทางลำไส้ตรง เพราะลำไส้บีบตัวเป็นจังหวะถี่เกินไป หรือเป็นเพราะการกินอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สมาก เช่น ถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนม
ผายลมบอกโรค[แก้]
การผายลมกับอุจจาระเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าผายลมนั้นสิ่งที่ออกมาคือแก๊ส เป็นการระบายสิ่งที่ไม่ดีออกมาจากร่างกายโดยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่
หากวันทั้งวันไม่ผายลมเลยนั้นแสดงว่ากำลังผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อุดตัน หรือมะเร็ง หากเกิดกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงอาจบอกได้ว่าในลำไส้มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วกระเพาะอาหารไม่ทำงาน อาหารก็ไม่ถูกย่อย เมื่อไปถึงลำไส้ใหญ่แบคทีเรียจะมาทำหน้าที่ช่วยย่อยเมื่อย่อยมากก็เกิดแก๊สมากขึ้นตามมา
ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี เมื่อถุงน้ำดีไม่ทำงานทำให้ย่อยสลายไขมันได้ไม่ดี จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดและผายลมหลังอาหารอยู่บ่อยๆ ตลอดจนผู้ที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคตับอ่อนอักเสบ และผู้ที่มีอาการท้องผูกล้วนเป็นสาเหตุของผายลมได้
ผายลมกับพฤติกรรม[แก้]
ผายลมนอกจากจะเกิดจากโรคภัยแล้ว ยังเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำอีกด้วย
1.อาหารที่กระตุ้นการผายลมและมีกลิ่นเหม็น การทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากกว่าผัก ทำให้แบคทีเรียที่สร้างแก๊สเติบโตได้ดีในลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดตะกรันของอุจจาระค้างปีที่หลงเหลืออยู่ในลำไส้ใหญ่มาก เพราะอาหารประเภทนี้จะใช้เวลาย่อยประมาณ 72 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ทำให้เกิดการหมักหมมทำให้เกิดเสียงและกลิ่นเหม็น นอกจากเนื้อสัตว์แล้วยังมี ถั่วแห้งต่างๆ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ขนมปังสด ช็อกโกแลต กาแฟ แตงกวา อาหารทอด ผัดกาดแก้ว ขนมหวานเมอแรง ถั่วลิสง ไช้เท้า ครีม (นม) ปั่น เป็นต้น
2.พฤติกรรมกระตุ้นผายลม ได้แก่ การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้อาหารย่อยไม่หมดและทำให้ท้องอืด หรือท้องไม่ทันอืดก็เรอออกมาเสียก่อน สุขภาพของฟัน เช่น ผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พูดมากหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้ต้องกลืนลมเข้าท้องในปริมาณมาก ขาดการออกกำลังกาย เพราะการผายลมเกิดจากการบีดตัวของลำไส้ใหญ่ ซึ่งการทำงานของลำไส้ใหญ่มักเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อ้างอิง[แก้]
นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2551

หมวดหมู่: รีเฟล็กซ์
สรีรวิทยา
รายการเลือกการนำทาง
ไม่ได้ล็อกอิน
พูดคุย
เรื่องที่เขียน
สร้างบัญชี
ล็อกอิน
บทความ
อภิปราย
เนื้อหา
แก้ไข
ประวัติ
หน้าหลัก
ถามคำถาม
บทความคัดสรร
บทความคุณภาพ
เหตุการณ์ปัจจุบัน
สุ่มบทความ
มีส่วนร่วม
เกี่ยวกับวิกิพีเดีย
ศาลาประชาคม
ปรับปรุงล่าสุด
ติดต่อวิกิพีเดีย
บริจาคให้วิกิพีเดีย
วิธีใช้
เครื่องมือ
หน้าที่ลิงก์มา
การปรับปรุงที่เกี่ยวโยง
อัปโหลดไฟล์
หน้าพิเศษ
ลิงก์ถาวร
สารสนเทศหน้า
Wikidata item
อ้างอิงบทความนี้
พิมพ์/ส่งออก
สร้างหนังสือ
ดาวน์โหลดเป็น
รุ่นพร้อมพิมพ์
โครงการอื่น

ภาษาอื่น
แก้ไขลิงก์
หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559 เวลา 11:02 น.
อนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน และอาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม ดูรายละเอียดที่ ข้อกำหนดการใช้งาน

Difiero en todo.

No ha dado ni una

Eric Sachs escribió:ผายลม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
ผายลม หรือ ตด ในภาษาพูด โดยทั่วไปเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ในวันหนึ่งๆ มนุษย์อาจผายลมได้ 10-20 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นปริมาณแก๊สที่ปล่อยออกมา คือ 0.5-1 ลิตรต่อวัน
ผายลมเกิดจากการรวมตัวของแก๊สหลายชนิด แก๊สที่ไม่มีกลิ่น 99% มีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ออกซิเจน และมีเทน ส่วนแก๊สที่มีกลิ่นมี 1% เท่านั้นซึ่งเกิดจากการหมักหมมของอาหารในลำไส้ใหญ่ และทำให้เกิดแก๊สจำพวกกำมะถัน ได้แก่ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นเฉพาะตัว
ปกติมนุษย์ขับแก๊สส่วนเกินออกจากร่างกายได้ 2 ทาง คือ การขับออกทางปาก (เรอ) และการขับออกทางทวารหนัก (ผายลม หรือตด) หากแก๊สนั้นไม่ขับออกมาจะทำให้มีการสะสมไว้ในทางเดินอาหาร จะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง ปวดมวนในท้อง และเกิดอาการท้องอืดตามมา
เนื้อหา [ซ่อน]
1 สาเหตุ
2 ผายลมบอกโรค
3 ผายลมกับพฤติกรรม
4 อ้างอิง
สาเหตุ[แก้]
แก๊สในร่างกายเกิดจาก 2 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1.แก๊สจากภายนอกร่างกาย คิดเป็น 90% เป็นอาการที่รับเข้ามาผ่านทางปากและทวาร กล่าวคือ เมื่อเราพูดหรือกลืนอาหารก็จะกลืนอากาศเข้าไปด้วย และสาเหตุอื่นๆ อีก ได้แก่ การกินอาหารเร็วเกินไปทำให้เคี้ยวไม่ละเอียด เคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอม สูบบุหรี่ การใช้ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม การดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแก๊ส
2.แก๊สที่เกิดจากภายในร่างกาย คิดเป็น 10% แก๊สประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นแก๊สที่ผลิตขึ้นจากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกากอาหาร ซึ่งแก๊สที่เกิดขึ้นจากกระบวนการย่อยนี้เมื่อรวมตัวกันแล้วก็จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ใหญ่
แม้ว่าผนังลำไส้ใหญ่จะดูดซึมแก๊สเหล่านี้ไว้ได้ หากลำไส้ใหญ่ดูดแก๊สไม่ทันบางครั้งร่างกายก็ขับแก๊สออกมาทางลำไส้ตรง เพราะลำไส้บีบตัวเป็นจังหวะถี่เกินไป หรือเป็นเพราะการกินอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สมาก เช่น ถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนม
ผายลมบอกโรค[แก้]
การผายลมกับอุจจาระเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าผายลมนั้นสิ่งที่ออกมาคือแก๊ส เป็นการระบายสิ่งที่ไม่ดีออกมาจากร่างกายโดยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่
หากวันทั้งวันไม่ผายลมเลยนั้นแสดงว่ากำลังผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อุดตัน หรือมะเร็ง หากเกิดกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงอาจบอกได้ว่าในลำไส้มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วกระเพาะอาหารไม่ทำงาน อาหารก็ไม่ถูกย่อย เมื่อไปถึงลำไส้ใหญ่แบคทีเรียจะมาทำหน้าที่ช่วยย่อยเมื่อย่อยมากก็เกิดแก๊สมากขึ้นตามมา
ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี เมื่อถุงน้ำดีไม่ทำงานทำให้ย่อยสลายไขมันได้ไม่ดี จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดและผายลมหลังอาหารอยู่บ่อยๆ ตลอดจนผู้ที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคตับอ่อนอักเสบ และผู้ที่มีอาการท้องผูกล้วนเป็นสาเหตุของผายลมได้
ผายลมกับพฤติกรรม[แก้]
ผายลมนอกจากจะเกิดจากโรคภัยแล้ว ยังเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำอีกด้วย
1.อาหารที่กระตุ้นการผายลมและมีกลิ่นเหม็น การทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากกว่าผัก ทำให้แบคทีเรียที่สร้างแก๊สเติบโตได้ดีในลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดตะกรันของอุจจาระค้างปีที่หลงเหลืออยู่ในลำไส้ใหญ่มาก เพราะอาหารประเภทนี้จะใช้เวลาย่อยประมาณ 72 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ทำให้เกิดการหมักหมมทำให้เกิดเสียงและกลิ่นเหม็น นอกจากเนื้อสัตว์แล้วยังมี ถั่วแห้งต่างๆ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ขนมปังสด ช็อกโกแลต กาแฟ แตงกวา อาหารทอด ผัดกาดแก้ว ขนมหวานเมอแรง ถั่วลิสง ไช้เท้า ครีม (นม) ปั่น เป็นต้น
2.พฤติกรรมกระตุ้นผายลม ได้แก่ การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้อาหารย่อยไม่หมดและทำให้ท้องอืด หรือท้องไม่ทันอืดก็เรอออกมาเสียก่อน สุขภาพของฟัน เช่น ผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พูดมากหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้ต้องกลืนลมเข้าท้องในปริมาณมาก ขาดการออกกำลังกาย เพราะการผายลมเกิดจากการบีดตัวของลำไส้ใหญ่ ซึ่งการทำงานของลำไส้ใหญ่มักเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อ้างอิง[แก้]
นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2551

หมวดหมู่: รีเฟล็กซ์
สรีรวิทยา
รายการเลือกการนำทาง
ไม่ได้ล็อกอิน
พูดคุย
เรื่องที่เขียน
สร้างบัญชี
ล็อกอิน
บทความ
อภิปราย
เนื้อหา
แก้ไข
ประวัติ
หน้าหลัก
ถามคำถาม
บทความคัดสรร
บทความคุณภาพ
เหตุการณ์ปัจจุบัน
สุ่มบทความ
มีส่วนร่วม
เกี่ยวกับวิกิพีเดีย
ศาลาประชาคม
ปรับปรุงล่าสุด
ติดต่อวิกิพีเดีย
บริจาคให้วิกิพีเดีย
วิธีใช้
เครื่องมือ
หน้าที่ลิงก์มา
การปรับปรุงที่เกี่ยวโยง
อัปโหลดไฟล์
หน้าพิเศษ
ลิงก์ถาวร
สารสนเทศหน้า
Wikidata item
อ้างอิงบทความนี้
พิมพ์/ส่งออก
สร้างหนังสือ
ดาวน์โหลดเป็น
รุ่นพร้อมพิมพ์
โครงการอื่น

ภาษาอื่น
แก้ไขลิงก์
หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559 เวลา 11:02 น.
อนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน และอาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม ดูรายละเอียดที่ ข้อกำหนดการใช้งาน

Eric Sachs escribió:ผายลม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ไปที่: ป้ายบอกทาง, ค้นหา
ผายลม หรือ ตด ในภาษาพูด โดยทั่วไปเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติของมนุษย์ ในวันหนึ่งๆ มนุษย์อาจผายลมได้ 10-20 ครั้ง ซึ่งคิดเป็นปริมาณแก๊สที่ปล่อยออกมา คือ 0.5-1 ลิตรต่อวัน
ผายลมเกิดจากการรวมตัวของแก๊สหลายชนิด แก๊สที่ไม่มีกลิ่น 99% มีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ ไนโตรเจน คาร์บอนไดออกไซด์ ไฮโดรเจน ออกซิเจน และมีเทน ส่วนแก๊สที่มีกลิ่นมี 1% เท่านั้นซึ่งเกิดจากการหมักหมมของอาหารในลำไส้ใหญ่ และทำให้เกิดแก๊สจำพวกกำมะถัน ได้แก่ ไฮโดรเจนซัลไฟด์ ซึ่งเป็นสารที่มีกลิ่นเฉพาะตัว
ปกติมนุษย์ขับแก๊สส่วนเกินออกจากร่างกายได้ 2 ทาง คือ การขับออกทางปาก (เรอ) และการขับออกทางทวารหนัก (ผายลม หรือตด) หากแก๊สนั้นไม่ขับออกมาจะทำให้มีการสะสมไว้ในทางเดินอาหาร จะทำให้รู้สึกอึดอัด แน่นท้อง ปวดมวนในท้อง และเกิดอาการท้องอืดตามมา
เนื้อหา [ซ่อน]
1 สาเหตุ
2 ผายลมบอกโรค
3 ผายลมกับพฤติกรรม
4 อ้างอิง
สาเหตุ[แก้]
แก๊สในร่างกายเกิดจาก 2 องค์ประกอบหลัก ดังนี้
1.แก๊สจากภายนอกร่างกาย คิดเป็น 90% เป็นอาการที่รับเข้ามาผ่านทางปากและทวาร กล่าวคือ เมื่อเราพูดหรือกลืนอาหารก็จะกลืนอากาศเข้าไปด้วย และสาเหตุอื่นๆ อีก ได้แก่ การกินอาหารเร็วเกินไปทำให้เคี้ยวไม่ละเอียด เคี้ยวหมากฝรั่ง อมลูกอม สูบบุหรี่ การใช้ฟันปลอมที่ไม่เหมาะสม การดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแก๊ส
2.แก๊สที่เกิดจากภายในร่างกาย คิดเป็น 10% แก๊สประเภทนี้ส่วนใหญ่เป็นแก๊สที่ผลิตขึ้นจากแบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ที่ทำปฏิกิริยาย่อยสลายกากอาหาร ซึ่งแก๊สที่เกิดขึ้นจากกระบวนการย่อยนี้เมื่อรวมตัวกันแล้วก็จะเคลื่อนที่ไปสู่ลำไส้ใหญ่
แม้ว่าผนังลำไส้ใหญ่จะดูดซึมแก๊สเหล่านี้ไว้ได้ หากลำไส้ใหญ่ดูดแก๊สไม่ทันบางครั้งร่างกายก็ขับแก๊สออกมาทางลำไส้ตรง เพราะลำไส้บีบตัวเป็นจังหวะถี่เกินไป หรือเป็นเพราะการกินอาหารที่ก่อให้เกิดแก๊สมาก เช่น ถั่ว หรือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับนม
ผายลมบอกโรค[แก้]
การผายลมกับอุจจาระเป็นเรื่องเดียวกัน เพียงแต่ว่าผายลมนั้นสิ่งที่ออกมาคือแก๊ส เป็นการระบายสิ่งที่ไม่ดีออกมาจากร่างกายโดยการบีบตัวของลำไส้ใหญ่
หากวันทั้งวันไม่ผายลมเลยนั้นแสดงว่ากำลังผิดปกติ เช่น ผู้ป่วยโรคลำไส้ใหญ่อุดตัน หรือมะเร็ง หากเกิดกลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงอาจบอกได้ว่าในลำไส้มีแบคทีเรียที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ
ผู้ป่วยโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เมื่อกินอาหารเข้าไปแล้วกระเพาะอาหารไม่ทำงาน อาหารก็ไม่ถูกย่อย เมื่อไปถึงลำไส้ใหญ่แบคทีเรียจะมาทำหน้าที่ช่วยย่อยเมื่อย่อยมากก็เกิดแก๊สมากขึ้นตามมา
ผู้ป่วยโรคนิ่วในถุงน้ำดี เมื่อถุงน้ำดีไม่ทำงานทำให้ย่อยสลายไขมันได้ไม่ดี จึงทำให้ผู้ป่วยมีอาการท้องอืดและผายลมหลังอาหารอยู่บ่อยๆ ตลอดจนผู้ที่เป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคตับอ่อนอักเสบ และผู้ที่มีอาการท้องผูกล้วนเป็นสาเหตุของผายลมได้
ผายลมกับพฤติกรรม[แก้]
ผายลมนอกจากจะเกิดจากโรคภัยแล้ว ยังเกิดจากพฤติกรรมต่างๆ ที่เราทำอีกด้วย
1.อาหารที่กระตุ้นการผายลมและมีกลิ่นเหม็น การทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์ในปริมาณที่มากกว่าผัก ทำให้แบคทีเรียที่สร้างแก๊สเติบโตได้ดีในลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังก่อให้เกิดตะกรันของอุจจาระค้างปีที่หลงเหลืออยู่ในลำไส้ใหญ่มาก เพราะอาหารประเภทนี้จะใช้เวลาย่อยประมาณ 72 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ทำให้เกิดการหมักหมมทำให้เกิดเสียงและกลิ่นเหม็น นอกจากเนื้อสัตว์แล้วยังมี ถั่วแห้งต่างๆ กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ ขนมปังสด ช็อกโกแลต กาแฟ แตงกวา อาหารทอด ผัดกาดแก้ว ขนมหวานเมอแรง ถั่วลิสง ไช้เท้า ครีม (นม) ปั่น เป็นต้น
2.พฤติกรรมกระตุ้นผายลม ได้แก่ การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด ทำให้อาหารย่อยไม่หมดและทำให้ท้องอืด หรือท้องไม่ทันอืดก็เรอออกมาเสียก่อน สุขภาพของฟัน เช่น ผู้สูงอายุที่ฟันไม่ดีทำให้เคี้ยวอาหารไม่ละเอียด พูดมากหรือเคี้ยวหมากฝรั่ง ทำให้ต้องกลืนลมเข้าท้องในปริมาณมาก ขาดการออกกำลังกาย เพราะการผายลมเกิดจากการบีดตัวของลำไส้ใหญ่ ซึ่งการทำงานของลำไส้ใหญ่มักเป็นไปตามการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อ้างอิง[แก้]
นิตยสารชีวจิต ฉบับวันที่ 1 กรกฎาคม 2551

หมวดหมู่: รีเฟล็กซ์
สรีรวิทยา
รายการเลือกการนำทาง
ไม่ได้ล็อกอิน
พูดคุย
เรื่องที่เขียน
สร้างบัญชี
ล็อกอิน
บทความ
อภิปราย
เนื้อหา
แก้ไข
ประวัติ
หน้าหลัก
ถามคำถาม
บทความคัดสรร
บทความคุณภาพ
เหตุการณ์ปัจจุบัน
สุ่มบทความ
มีส่วนร่วม
เกี่ยวกับวิกิพีเดีย
ศาลาประชาคม
ปรับปรุงล่าสุด
ติดต่อวิกิพีเดีย
บริจาคให้วิกิพีเดีย
วิธีใช้
เครื่องมือ
หน้าที่ลิงก์มา
การปรับปรุงที่เกี่ยวโยง
อัปโหลดไฟล์
หน้าพิเศษ
ลิงก์ถาวร
สารสนเทศหน้า
Wikidata item
อ้างอิงบทความนี้
พิมพ์/ส่งออก
สร้างหนังสือ
ดาวน์โหลดเป็น
รุ่นพร้อมพิมพ์
โครงการอื่น

ภาษาอื่น
แก้ไขลิงก์
หน้านี้แก้ไขล่าสุดเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2559 เวลา 11:02 น.
อนุญาตให้เผยแพร่ภายใต้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์ แบบแสดงที่มา-อนุญาตแบบเดียวกัน และอาจมีเงื่อนไขเพิ่มเติม ดูรายละเอียดที่ ข้อกำหนดการใช้งาน

Perseide escribió:Por cierto, gracioso el rollo de Piqué y Arbeloa

Yusefly escribió:Creia a Pique mas listo

Perseide escribió:Por cierto, gracioso el rollo de Piqué y Arbeloa

Trumbo escribió:Piqué sabe dar pero no recibir. ..

Balachina escribió:

Perseide escribió:Por cierto, gracioso el rollo de Piqué y Arbeloa

A mí ya me aburre. No sé quién de los dos es más bobo, tienen el listón altísimo.

Ahora, el que sale perdiendo es Piqué claramente. Al fin y al cabo Arbeloa es un mindundi que si no fuera porque se le sigue el juego en este tipo ed hsitorias no pintaria nada (como de hecho no pinta nada en el plano futbolístico).

Muy mal Piquetón, muy mal, no te han sabido parar los pies...

Frusciante escribió:

Trumbo escribió:Piqué sabe dar pero no recibir. ..

En cambio Pep siempre se ha dicho que era más de recibir

Eric Sachs escribió:igual me equivoco pero me da que si pique  tuviera  la boca cerrada   a lo mejor  seguia el barsa   10-15  puntos por encima del madrid   y  habria mas posibilidades de que el wolfsburgo aguantara el tiron el martes.
.

ElArquitecto escribió:

Eric Sachs escribió:igual me equivoco pero me da que si pique  tuviera  la boca cerrada   a lo mejor  seguia el barsa   10-15  puntos por encima del madrid   y  habria mas posibilidades de que el wolfsburgo aguantara el tiron el martes.
.

Si el barça no está 10 puntos por encima del Madrid es porque el barça ha perdido partidos, no por otra cosa. Y aún así, el rival a batir seguiría siendo el Atleti. Hablamos de un equipo de profesionales de élite mundial, si ganar una eliminatoria de Champions al octavo de la liga alemana depende de los tweets de Piqué es que el fútbol es una mentira.

Eric Sachs escribió:

ElArquitecto escribió:

Eric Sachs escribió:igual me equivoco pero me da que si pique  tuviera  la boca cerrada   a lo mejor  seguia el barsa   10-15  puntos por encima del madrid   y  habria mas posibilidades de que el wolfsburgo aguantara el tiron el martes.
.

Si el barça no está 10 puntos por encima del Madrid es porque el barça ha perdido partidos, no por otra cosa. Y aún así, el rival a batir seguiría siendo el Atleti. Hablamos de un equipo de profesionales de élite mundial, si ganar una eliminatoria de Champions al octavo de la liga alemana depende de los tweets de Piqué es que el fútbol es una mentira.

no.
el tema   no es  que el barcelona   fuese a ganar mas partidos sin la boca de pique     sino que el madrid  se habria  dejado  llevar  MUCHO mas   y no  habria  ganado  tantos empezando por el  clasico.

La  rabia   te   lleva  donde la cabeza y las piernas no.

ElArquitecto escribió:

Eric Sachs escribió:

ElArquitecto escribió:

Eric Sachs escribió:igual me equivoco pero me da que si pique  tuviera  la boca cerrada   a lo mejor  seguia el barsa   10-15  puntos por encima del madrid   y  habria mas posibilidades de que el wolfsburgo aguantara el tiron el martes.
.

Si el barça no está 10 puntos por encima del Madrid es porque el barça ha perdido partidos, no por otra cosa. Y aún así, el rival a batir seguiría siendo el Atleti. Hablamos de un equipo de profesionales de élite mundial, si ganar una eliminatoria de Champions al octavo de la liga alemana depende de los tweets de Piqué es que el fútbol es una mentira.

no.
el tema   no es  que el barcelona   fuese a ganar mas partidos sin la boca de pique     sino que el madrid  se habria  dejado  llevar  MUCHO mas   y no  habria  ganado  tantos empezando por el  clasico.

La  rabia   te   lleva  donde la cabeza y las piernas no.

Osea, que al Madrid le espolean mucho más un par de Tweets de Piqué con insinuaciones veladas que el machaque constante y diario de la prensa y afición. No compro para nada.

Eric Sachs escribió:los del calvo ardiendo.